วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ผลกระทบของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ต่อเศรษฐกิจการค้าของไทย (ASEAN Economic Community: AEC)


                                  ผลกระทบของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
                                                  ต่อเศรษฐกิจการค้าของไทย
                                      ความเป็นอยู่ ความเป็นธรรมของประชาชน”
                                       (ASEAN Economic Community: AEC)

กลุ่มเศรษฐกิจ




ด้วยความห่วงใยในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นและกระทบกับประชาชนในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจจะมีทั้งผลดีและผลเสียตามมาขึ้นอยู่กับใครจะเป็นผู้รับอะไร  ใครมีความพร้อม และอ่อนด้อยอย่างไร  ใครมีโอกาส และใครเป็นผู้เสียโอกาส และสุดท้ายแล้วประชาชนคนไทย ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อะไร
                ผลกระทบของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ต่อเศรษฐกิจการค้าของไทยความเป็นอยู่ ความเป็นธรรมของประชาชน มีความเชื่อมโยงกันในหลายมิติที่ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ นักวิชา ต้องจับมือ และเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด หากเกิดการผิดพลาดขึ้นมาทั้งทางด้านนโยบาย และการปฏิบัติการ รวมถึงความพร้อมในการเตรียมการณ์ เตียมตัวแล้วประชาชนผู้ยากไร้ ขาดซึ่งอาวุธที่จะต่อสู้ (อาวุธทางปัญญา ความสามารถ สมรรถนะและทุน)จะประสบปัญหาทั้งทางด้าน หนี้สิน ที่ทำกิน และสังคมที่ล้มเหลวจะตามมาอย่างเหลียกเลี่ยงไม่ได้
                เราคงไม่คาดหวังความร่ำรวย ทางเศรษฐกิจ ร่ำรวยเงินทอง และสินทรัพย์ เราคงไม่คาดหวังการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย บริโภคที่เกินคำว่ากินเพื่อการอยู่รอดด้อยความสุขอันพึงมี อย่างมีความสุขโดยประมาณ พระเจ้าแผ่นดินของเราสอนให้พสกนิกรของท่านอยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่างมีความสุข
                ภายใต้เงื่อนไขของ AEC คืออะไร? แน่นอนว่าประเทศไทย ประชาชนคนไทย ต้องอยู่ร่วมโลกใบเดียวกันกับประชาชนของประเทศอื่นๆ แน่นอนว่าประเทศไทยต้องอยู่ร่วมกันกับประเทศอื่นๆบนเวทีโลกเดียวกัน เงื่อนไข และนโยบายที่จะนำพาประชาชนและประเทศชาติไปสู่ความผาสุข สถาพร ย่อมเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง  บนเวทีโลกในปัจจุบันประกอบไปด้วยองค์กรต่างๆมากมาย  ในลักษณะเดียวกันกับ  ASIAN:AEC อันเป็นองค์กรทางเศรษฐกิจ เช่น NAFTA; MERCOSUR;EU;GCC;SACU;BIMST-EC;และCER
ที่มา ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC)
  แต่เดิมนั้น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ยังเป็นเพียงกรอบความตกลงทางการค้า จากเวทีการเจรจาของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมุ่งเน้นเพียงความร่วมมือทางการค้า เพื่อชะลอการเปิดเสรีฯ ซึ่งสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรป พยายามจะรุกเข้ามาในตลาดของภูมิภาคนี้ การรวมกลุ่มกันเพื่อความเข้มแข็งจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างยาวนาน ของอาเซียน มีการส่งเสริมความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในหลายระดับ จึงได้พัฒนาต่อยอดเป็นมากกว่าเรื่องทางการค้า หรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังวางรากฐานที่จะเปิดประตูไปสู่ความร่วมมือทางด้านศิลปวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนช่วยเหลือกันในมิติทางสังคม การเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวก และกระบวนการต่างๆ ก็เดินหน้าไปทุกขณะ แม้จะไม่เร่งรีบ แต่ก็มียุทธศาสตร์และ Road map วางไว้อย่างชัดเจน จนถึงปัจจุบันนี้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC มีผลในทางปฏิบัติมากขึ้นๆ และส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะต้องปรับตัวอย่างเหมาะสม และคอยติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงแค่ข้อมูลจากส่วนราชการเท่านั้น แต่ยังต้องแสวงหาโอกาส ความร่วมมือกันของกลุ่มองค์กรภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอีกด้วย
  ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ที่เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546 ได้ให้การรับรองและลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) ซึ่งรวมเรื่องการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลัก 3 เสาของการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) โดยอีก 2 เสาหลัก คือเสาหลักด้านการเมืองและความมั่นคง (Political and Security Pillar) และเสาหลักด้านสังคมและวัฒนธรรม (Socio-Cultural Pillar) โดยที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ยังเห็นชอบให้มีการรวมตัวเป็น AEC ภายในปี ค.ศ. 2020 โดยอาเซียนจะเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว รวมทั้งมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุนและแรงงานมีฝีมือโดยเสรีและการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีขึ้น ในการนี้ ผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้ เร่งรัดการรวมกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา เป็นสาขานำร่อง โดยมีประเทศสมาชิกรับผิดชอบในการจัดทำ Road map ในแต่ละสาขา ได้แก่
·       ไทย : การท่องเที่ยวและการบิน
·       พม่า : สินค้าเกษตรและสินค้าประมง
·       อินโดนีเซีย : ยานยนต์และผลิตภัณฑ์ไม้
·       มาเลเซีย : ยางและสิ่งทอ
·       ฟิลิปปินส์ : อิเล็กทรอนิกส์
·       สิงคโปร์ : เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และการบริการด้านสุขภาพ
ในส่วนของไทยนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้เร่งรัดการจัดตั้ง AEC ให้เร็วขึ้นภายในปี ค.ศ. 2012 และเสนอว่าในการเร่งรัดการรวมตัวอาเซียนน่าจะใช้หลักการ Two Plus โดย 2-3 ประเทศที่พร้อมสามารถที่จะเปิดเสรีในภาคที่ตนมีความพร้อมไปก่อน และประเทศอื่นๆ สามารถเข้าร่วมเมื่อมีความพร้อมแล้ว ซึ่งในประเด็นนี้ นายกรัฐมนตรี สิงคโปร์ ได้กล่าวสนับสนุนข้อเสนอของไทยที่ให้เลื่อนระยะเวลาในการบรรลุประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้เร็วขึ้น โดยเห็นว่าน่าจะเป็นปี ค.ศ. 2015 จากที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (Informal AEM) เมื่อวันที่ 19-20 มกราคม 2547 ที่ยอกยาการ์ตา มอบหมายให้ SEOM เป็นผู้เจรจาเรื่องการจัดทำ Road map สำหรับสินค้าและบริการ 11 สาขาดังกล่าว
ที่ประชุม AEM Retreat ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 20-21 เมษายน 2547 ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้ตกลงให้จัดทำ Framework Agreement สำหรับเรื่องการรวมตัวของสินค้าและบริการ 11 สาขา เพื่อเสนอให้ผู้นำอาเซียนลงนาม และ พิธีสารสำหรับแต่ละสาขาสำหรับให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ลงนาม ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 10 ณ เมืองเวียงจันทน์ ในเดือนพฤศจิกายน 2547 นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้กำหนดให้ปี ค.ศ. 2010 เป็น deadline สำหรับการรวมตัวของสินค้าและบริการ 11 สาขา โดยให้มีการผ่อนปรนสำหรับประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (CLMV) ได้
 ที่ประชุม AEM ครั้งที่ 36 ณ กรุงจาการ์ตา (3 กันยายน 2547) รับรองร่าง Road map สำหรับสินค้าและบริการ 11 สาขา ร่าง Framework Agreement for the Integration of the Priority Sectors และร่างพิธีสาร ASEAN Sectoral Integration Protocol สำหรับ Road map ทั้ง 11 สาขา ไว้ชั้นหนึ่งแล้ว และรับทราบว่าจะมีการประชุม SEOM อีกครั้งเพื่อพิจารณาสรุปผลการเจรจา Road map ในทุกสาขา นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบกับข้อเสนอที่ให้เร่งลดภาษีสินค้าใน Priority Sectors เร็วขึ้นจากกรอบ AFTA เดิม 3 ปี คือ จาก ค.ศ. 2010 เป็นปี 2007 สำหรับสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ และ ปี 2015 เป็น 2012 สำหรับประเทศ CLMV โดยได้กำหนดเพดานสำหรับสินค้าทั้งหมดใน Priority Sectors ที่ไม่ต้องการเร่งลดภาษี (Negative List) ไว้ที่ 15%
                ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนเมื่อวันที่ 21-22 กันยายน 2547 ที่กรุงเทพฯ สามารถหาข้อสรุปในสาระสำคัญของทุก Road map ได้ ทั้งนี้ กรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียนกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการร่วมที่จะใช้กับการรวมกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญทุกสาขาและมีสาระสำคัญ ได้แก่ การเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการลงทุนและการส่งเสริมการค้าและการลงทุน และความร่วมมือในด้านอื่นๆ ดังนี้
                (1) การค้าสินค้า - จะเร่งลดภาษีสินค้าใน Priority Sectors (เกษตร/ประมง/ผลิตภัณฑ์ไม้/ผลิตภัณฑ์ยาง/สิ่งทอ/ยานยนต์/อิเล็กทรอนิกส์/เทคโนโลยีสารสนเทศ/สาขาสุขภาพ) เป็น 0% เร็วขึ้นจากกรอบ AFTA เดิม 3 ปี คือ จาก 2010 เป็นปี 2007 สำหรับสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ และ ปี 2015 เป็น 2012 สำหรับประเทศ CLMV โดยได้กำหนดเพดานสำหรับสินค้าทั้งหมดใน Priority Sectors ไม่ต้องการเร่งลดภาษี (Negative List) ไว้ที่ 15%
  (2) การค้าบริการ - จะเร่งเปิดเสรีสาขาบริการใน Priority Sectors (สาขาสุขภาพ, e-ASEAN, ท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ) ภายในปี ค.ศ. 2010 ทั้งนี้ ให้ใช้ ASEAN-X formula ได้
   (3) การลงทุน - จะเร่งเปิดการลงทุนในรายการสงวน (Sensitive List) ภายในปี 2010 สำหรับอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ปี ค.ศ. 2013 สำหรับเวียดนามและ 2015 สำหรับกัมพูชา ลาว และพม่า ทั้งนี้ ให้ใช้ ASEAN-X formula ได้ และส่งเสริมการผลิตในอาเซียนโดยการจัดตั้งเครือข่าย ASEAN free trade zones เพื่อส่งเสริมการซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตในอาเซียน  (outsourcing) และดำเนินมาตรการร่วมเพื่อดึงดูด FDI
                (4) การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน - ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่างๆ คือ กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า พิธีการศุลกากร มาตรฐาน (standard and conformance) การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และ logistics service สำหรับการขนส่ง การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในอาเซียน และ การเคลื่อนย้ายของนักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบวิชาชีพ และ แรงงานมีฝีมือ
   (5) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน และความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พิธีสารว่าด้วยการรวมกลุ่มรายสาขาของอาเซียน 11 สาขากำหนดมาตรการร่วม ซึ่งคาบเกี่ยวกับทุกสาขาเช่นเดียวกับในกรอบความตกลงฯ และมาตรการเฉพาะสำหรับการรวมกลุ่มแต่ละสาขานั้นๆ โดยรวมอยู่ในแผนการรวมกลุ่ม (Road map) ซึ่งผนวกอยู่กับพิธีสารฯ
                 ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียน (Framework Agreement for the Integration of the Priority Sectors) ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2547 และรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามในพิธีสารว่าด้วยการรวมกลุ่มรายสาขาของอาเซียน 11 ฉบับ (ASEAN Sectoral Integration Protocol) ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2547 ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 10 ที่เวียงจันทน์ ระหว่างวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2547 ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 10 ทุกประเทศย้ำความสำคัญของการดำเนินการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2563 (ค.ศ. 2020) ซึ่ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดการรวมตัวของอาเซียนให้เร็วขึ้น โดยอาจให้สำเร็จภายในปี 2555 (ค.ศ. 2012) และได้เสนอแนวทางต่างๆ เพื่อช่วยเร่งรัดการรวมตัว เช่น การใช้วิธีการ Two plus X ซึ่ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้เคยเสนอความจำเป็น และแนวทางนี้มาแล้วเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ที่บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ก็ได้สนับสนุนข้อเสนอแนะของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีของไทย ที่ให้เร่งรัดการจัดตั้ง AEC ด้วย
                ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
1. เกิดการเคลื่อนย้ายคน แรงงานขึ้นอย่างมากในประเทศกลุ่มอาเซี่ยน
1.1.ความมั่นคงของประเทศ
1.2.โรคติดต่อร้ายแรงจากประชากรของประเทศที่ขาดมาตรฐานสาธารณะสุข
1.3.ปัญหาการค้ามนุษย์ มนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน จากกลุ่มประชากรที่ด้อยกว่า(ปัญญา การศึกษา)
1.4.ปัญหายาเสพติด และการค้าประเวณี
1.5.ปัญหาการแย่งงาน ในประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าและปัญหา การว่างงานในประเทศที่พัฒนาช้ากว่า
1.6.ปัญหาการไหลของแรงงานฝีมือ นักเทคโนโลยี นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ไหลไปสู่ประเทศที่ให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่า และการละทิ้งประเทศบ้านเกิด ทำให้ประชาชนที่ขาดโอกาสและยังอาศัยอยู่ในประแทศขาดมืออาชีพในการทำงาน
2. เกิดการไหลของเงินทุนลงไปในพื้นที่ที่ด้อยกว่าของกลุ่มทุนที่มีโอกาสสูงกว่าเช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร และ SMEs จะเกิดปัญหาและอันตรายอย่างยิ่งหากไม่มีการป้องกันจากนโยบายที่ดีพอ เช่น
2.1. ปัญหาที่ดินทำกิน ชาวบ้าน ชาวนา จะขายที่ทำกินเพราะสู้การทำเกษตรอุตสาหกรรมไม่ได้ สุดท้ายจะกลายเป็นลูกจ้าง ที่ดินถูกขาย เงินทุนต่างชาติที่มีมากกว่า ค่าเงินแพงกว่าจะได้ประโยชน์มาก และสุดท้ายต่างชาติจะมากำหนดราคาสินค้าการเกษตรที่ผลิตในประเทศไทย โดยคนไทย และขายให้คนไทย
2.2. อุตสาหกรรม SMEs ขนาดเล็กๆจะถูก ซื้อโดยทุนต่างชาติที่มีมากกว่า ผู้ประกอบการไทยจะกลายเป็นลูกจ้างในโรงงานที่สร้างมากับมือ (คศ.2020ต่างชาติถือหุ้นได้ 70เปอร์เซ็นต์)
3. เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพยากร ซึ่งถือเป็นปัจจัยการผลิต
3.1. แหล่งวัตถุดิบจะถูกบุกรุกและทำลายทรัพยากร โดยประชาชนคนในชาติซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ เป็นหุ้นส่วนที่สำคัญไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ จึงไม่เกิดการแบ่งปัน และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในทรัพยากรของตนได้
3.2. สิ่งแวดล้อมจะเลวร้ายเนื่องจากกิเลสทางด้านทุนนิยม มีเงินมาก มีทุนสูง กำไรงามกลุ่มทุนมีจำนวนมากขึ้น ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เพื่อสนองความต้องการผลกำไร และแข่งขันกันหาประโยชน์
4. ความสำคัญทางด้านศิลป วัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา จะค่อยๆหมดความสำคัญลง อันเกิดจากการเคลื่อนย้ายประชากร และการหลงกิเลส เงินตรา การบริโภคจนเกินกว่าจะเรียกว่าการกินอย่างพอเพียง
4.1. เกิดวัฒนธรรมใหม่ๆ แปลกๆ ประชาชนนิยมชมชอบตะวันตก
4.2. เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ประเพณี และบุคคลข้ามสายพันธุ์
4.3. การก่อตัวของอาชญากร ภายใต้เงื่อนไขอาชญากรรมคืบคลานเข้าหาโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากศีลธรรมอันดีถดถอย คนเเข่งขันเพื่อชนะ กิเลสครอบงำ ศีลธรรมหายไปจากจิตสำนึก ไม่มีจารีตบังคับ ให้เป็นเกราะแห่งความดีป้องกันตน
5. อื่นๆ

แนวทางการแก้ปัญหา
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นประเทศไทยไม่สามารถโดดเดี่ยวตัวเอง หรือประชาชนคนชาติไทยจะอยู่กันเองโดยไม่สนใจใครนั้นย่อมไม่ได้ ประชาชนคนไทยต้องมองสองสถานะ หนึ่งนั้นเป็นประชาชนคนในชาติไทย และอีกหนึ่งนั้นการเป็นพลเมืองของโลก  ปัจจุบันกิจกรรม องค์การต่างๆที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกันมีมากขึ้นและแข้มข้นในการปฏิบัติโดยการยึดถือข้อบังคับต่างๆอย่างเคร่งครัดมากขึ้น หากรัฐใด ประเทศใดไม่ใส่ใจข้อพันธะสัญญาก็จะขาดความเชื่อถือและกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวในที่สุด
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทย รัฐไทยจะต้องทำความรู้จัก ทำความเข้าใจ เตรียมการที่จะเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคและโลก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ใกล้ตัวเช่น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) แล้วจะทำอย่างไร? จะเตรียมอย่างไร?
1. รัฐต้องกำหนดนโยบาย ข้อกฎหมาย ข้อตกลง ที่ประชาชนมีส่วนร่วม ส่วนรับรู้และการตัดสินใจร่วมกัน มีความโปร่งใส ที่ทำให้ความคลางแคลงใจของประชาชนหมดไป มิใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมือง นักธุรกิจการเมือง ที่หยิบฉวยโอกาสจากการมีอำนาจ หรือความได้เปรียบจากการกำหนดนโยบายแล้วส่งผลที่เป็นประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมือง กลุ่มธุรกิจสนับสนุนการเมือง
2. รัฐจะต้องเตรียมระบบในการบริหาร จัดการที่มีประสิทธิภาพ เตรียมคน
3. รัฐจะต้องเตรียมทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถทั้งทางด้านทักษะ ทางด้านเทคนิค เทคโนโลยี วิศวกรรม การเกษตร และภาษา รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มีความเชี่ยวชาญ
4. การศึกษาของไทยจะต้องมีความเข้มข้น มีคุณภาพ ที่สามารถสร้างเยาวชนให้แข่งขันกับประเทศต่างๆได้ พร้อมทั้งสร้างความรับผิดชอบและความขยันขันแข็ง
5. รัฐต้องสร้างจิตสำนึกในการเป็นชาตินิยม รักษาและดำรงอยู่ที่เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรม อย่างเป็นรูปธรรม
6. รัฐจะต้องมีนโยบาย และการดำเนินการที่ส่งเสริม สนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงทุน ที่ง่ายขึ้น สะดวก และมีปริมาณที่โตขึ้น เนื่องจากต้องแข่งขันกับทุนใหญ่ จากต่างชาติ
7. รัฐต้องดูแลการจัดสรร และแบ่งปันการเข้าถึงทรัพยากร อย่างเป็นธรรม
8. รัฐต้องมีกระบวนการทางด้านมลภาวะ และส่งแวดล้อมอย่างชัดเจน และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
9. อื่นๆ


ดร.ทินโน ขวัญดี